การเผยแพร่สารสนเทศ
(Information dissemination)เป็นช่องทางสำคัญในการสื่อเพื่อเผยแพร่สารสนเทศจากแหล่งหนึ่งไปยังอีกแหล่งหนึ่ง
เช่น จากผู้เขียนไปยังผู้อ่าน จากสถาบันบริการสารสนเทศไปยังผู้ใช้ เป็นต้น
สารสนเทศที่เผยแพร่อาจอยู่ในรูปของข้อความ ตัวเลข เสียง ภาพ มัลติมิเดีย
และอาจบันทึกไว้บนกระดาษ สื่อโสตทัศน์ สื่อแม่เหล็ก หรือสื่อออปติก
การเผยแพร่สารสนเทศโดยทั่วไปมีการเผยแพร่อย่างไม่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
การเผยแพร่สารสนเทศอย่างไม่เป็นทางการอาจมีลักษณะของการพูดคุยในระหว่างการประชุมสัมมนา
การติดต่อทางโทรศัพท์ การีติดต่อทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ การร่วมในกลุ่มสนทนาอิเล็กทรอนิกส์
(listserv)ในหัวข้อต่างๆ เป็นต้น ส่วนการเผยแพร่สารสนเทศอย่างเป็นทางการนั้นมีการบันทึกสารสนเทศไว้เป็นหลักฐานในรูปลักษณ์ต่างๆ
เช่น เอกสารการบรรยายทางวิชาการ หนังสือ ตำรา รายงานการประชุมทางประชุมวิชาการ
เอกสารทางวิชาการ วารสาร เป็นต้น ซึ่งนิยมเรียกสิ่งพิมพ์เหล่านี้อย่างกว้างๆว่า
สิ่งพิมพ์วิชาการ
โดยถือเป็นสื่อที่สำคัญยิ่งในการเผยแพร่ความรู้และสารสนเทศใหม่และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
ยิ่งกว่านั้นสิ่งพิมพ์ทางวิชาการที่มีคุณภาพจะมีกระบวนการพิจารณาคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นผู้ร่วมวิชาชีพหรือนักวิชาการแขนงเดียวกัน
(peer-review process)สถาบันบริการสารสนเทศประเภทต่างๆล้วนมีภารกิจสำคัญในการจัดบริการเผยแพร่นั้นมุ่งเน้นสารสนเทศที่ได้รับการบันทึกไว้เป็นหลักฐานสำคัญ
การเผยแพร่สารสนเทศเป็นกิจกรรมสำคัญของสถาบันบริการสารสนเทศ
เกี่ยวข้องกับงานประชาสัมพันธ์กิจกรรมและภารกิจของสถาบัน
และการเผยแพร่สารสนเทศในรูปแบบที่สะดวกแก่ผู้ใช้ให้มากที่สุด
การเผยแพร่สารสนเทศที่สำคัญ คือ เป็นการจัดส่งสารสนเทศไปยังผู้ใช้
โดยอาจเป็นการจัดส่งไปยังผู้ใช้ที่สถาบันคาดว่าจะใช้ประโยชน์จากสารสนเทศนั้น
หรือจัดส่งไปยังผู้ใช้ตามที่ร้องขอ ทั้งนี้สารสนเทศที่จัดส่งอาจอยู่ในรูปเอกสาร
บทความ จดหมายข่าว เอกสารเวียน และทั้งที่เป็นกระดาษและ/หรืออิเล็กทรอนิกส์
การเผยแพร่สารสนเทศนั้นในระยะต้นส่วนใหญ่เป็นการเผยแพร่ทางเดียว
กล่าวคือ การที่ผู้ให้บริการสารสนเทศจัดส่งสารสนเทศให้แก่ผู้ใช้
ไม่ว่าผู้ใช้จะร้องขอหรือไม่ก็ตาม
และอาจมีการสอนหรือแนะนำให้ผู้ใช้ได้รู้จักวิธีการแสวงหาสารสนเทศเพื่อประโยชน์ในการแสวงหาสารสนเทศด้วยตนเอง
เมื่อได้ให้บริการแล้ว ถือว่าได้ดำเนินการครบกระบวนการเผยแพร่สารสนเทศ ในระยะหลัง
การเผยแพรสารสนเทศด้วยตนเอง เมื่อได้ให้บริการแล้ว ถือว่าได้ดำเนินการครบกระบวนการเผยแพร่สารสนเทศ
ในระยะหลัง การเผยแพร่สารสนเทศมีลักษณะปฏิสัมพันธ์โดยทั้งให้ผู้บริการและผู้ใช้มีการสื่อสารระหว่างกัน
และให้ผลป้อนกลับเพื่อใช้ปรับปรุงกิจกรรมการเผยแพร่สารสนเทศให้เหมาะสมและตรงกับความต้องการของผู้ใช้สอดคล้องกับสภาพการเผยแพร่สารสนเทศในสาขาวิทยาการหรือแต่ละศาสตร์ที่เกี่ยวข้องหรือตามนโยบายการให้บริการของสถาบันบริการสารสนเทศแห่งนั้นๆ
สถาบันบริการสารสนเทศมักจัดเผยแพร่สารสนเทศใน ลักษณะ คือ การเผยแพร่สารสนเทศเชิงรับ (passive)และเชิงรุก (proactive)การเผยแพร่สารสนเทศเชิงรับ
นั้นมุ่งเน้นการจัดบริการการเผยแพร่ดั้งเดิม คือ
การเผยแพร่สารสนเทศให้แก้ผู้ใช้ตามที่ผู้ใช้ร้องขอ
โดยอยู่ในขอบเขตการจัดบริการของสถาบันบริการสารสนเทศ เช่น
สถาบันบริการสารสนเทศแห่งหนึ่งจัดบริการแปลเอกสารภาษาต่างประเทศ
ผู้ใช้ที่สนใจจะต้องขอใช้บริการดังกล่าว โดยแจ้งต่อผู้ใช้บริการ โดยทางโทรศัพท์
หรือไปแจ้งความจำนง ณ สถาบันบริการสารสนเทศแห่งนั้นด้วยตนเอง
เพื่อขอทราบเงื่อนไขหรือลักษณะการให้บริการแปล
หากผู้ใช้รายนี้ไม่ได้ขอใช้บริการดังกล่าว อาจเป็นเพราะไม่ทราบว่าสถาบันบริการสารสนเทศแห่งดังกล่าวจัดบริการแปล
หรืออาจเคยใช้บริการแล้วแต่รู้สึกว่าการแปลมีข้อบกพร่อง หรือให้บริการช้าเกินไป
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม สถาบันบริการสารสนเทศย่อมพลาดโอกาสในการให้บริการเผยแพร่สารสนเทศแก่ผู้ใช้รายนี้
ในทางกลับกัน
จากข้อจำกัดของบริการเผยแพร่สารสนเทศเชิงรับ
และจากสภาพปัจจุบันที่มีการเผยแพร่สารสนเทศและบริการต่างๆ
อย่างกว้างขวางผ่านอินเทอร์เน็ต ทั้งที่เป็นบริการที่คิดและไม่คิดมูลค่า
สถาบันบริการสารสนเทศจำนวนมากจึงหันมาปรับปรุงบริการการเผยแพร่สารสนเทศให้อยู่ในเชิงรุก
คือ มีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้ เช่น ลักษณะการใช้สารสนเทศ
ความสนใจเป็นต้น
เพื่อใช้ในการคาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้และจัดบริการเผยแพร่สารสนเทศเชิงรับที่ผู้ใช้เป็นผู้ริเริ่มขอใช้บริการ
เมื่อได้รับคำร้องแล้ว จึงจัดบริการเผยแพร่สารสนเทศให้แก่ผู้รับตามกรอบหรือประเภทของบริการที่สถาบันบริการสารสนเทศกำหนดไว้
บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศในการเผยแพร่สารสนเทศ
ปัจจุบันการเผยแพร่สารสนเทศทำได้อย่างสะดวก
รวดเร็ว ยืดหยุ่นและประหยัด เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงกระบวนการเผยแพร่สารสนเทศทั้งในระหว่างบุคคล
ไปสู่กลุ่มผู้ใช้
หรือแก่สาธารณะโดยอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในการสื่อสารทั้งในระดับบุคคล
กลุ่มบุคคล ภายในหน่วยงาน ระหว่างหน่วยงานโดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่
บริการที่สำคัญบนอินเทอร์เน็ตที่นำมาใช้ในการเผยแพร่สารสนเทศอย่างแพร่หลายนั้น
คือ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการสื่อสารระหว่างบุคคล
ทำให้สามารถจัดส่งสารสนเทศในรูปอิเล็กทรอนิกส์ไปถึงผู้ใช้แต่ละคนได้อย่างสะดวก
กลุ่มสนทนาทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการสนทนาร่วมกันในกลุ่มสมาชิกในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งกระดานสนทนา
(web board)เป็นกระดานสนทนาในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง
แต่เปิดกว้างให้กับสารธารณะชน และเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web)หรือ (web)ซึ่งเป็นการบริการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร
หรือสารสนเทศทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในรูปแบบที่เรียกว่า ไฮเปอร์เท็กซท์ (hypertext)และจัดเป็นบริการสำคัญที่ใช้กันอย่างกว้างขวางที่สุด
ดังนั้น
หากพิจารณาบทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อการเผยแพร่สารสนเทศแล้ว
อาจจำแนกบทบาทดังกล่าวออกเป็น
ด้าน คือ การเป็นช่องทางในการเผยแพร่สารสนเทศ
และการขยายขอบเขตของทรัพยากรสารสนเทศ จากเดิมที่อยู่ในรูปกระดาษ
สื่อโสตทัศน์ประเภทต่างๆ ไปอยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์หรือดิจิทัล
เครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตหรือเวิลด์ไวด์เว็บเข้ามาเป็นช่องทางสำคัญในการเผยแพร่สารสนเทศอย่างกว้างขวาง
ไม่ว่าจะเป็นการเผยแพร่สารสนเทศทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น
มีการเปิดบริการให้ผู้ใช้ค้นแคตาล็อกของห้องสมุดผ่านเวิลด์ไวด์เว็บ
ทำให้บุคคลทั่วไปสามารถค้นหาทรัพยากรสาสรสนเทศในสถาบันบริการสารสนเทศ
โดยไม่ต้องเดินทางมาที่สถาบัน และเป็นบริการที่เผยแพร่ไปยังระดับภูมิภาคและสากลได้ตลอดเวลา
หรือการเผยแพร่สารสนเทศทันสมัยในรูปจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอินเทอร์เน็ตไปยังสมาชิกหรือผู้สนใจทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน
อาจกล่าวได้ว่า เครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตมีบทบาทสำคัญต่อการเผยแพร่สารสนเทศจนอาจจัดเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของสถาบันบริการสารสนเทศในยุคปัจจุบัน
ยิ่งกว่านั้น
ยังเกิดการผลิตและการตีพิมพ์สารสนเทศในรูปลักษณ์ต่างๆ ด้วยคอมพิวเตอร์
เกิดสิ่งพิมพ์ในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อดิจิทัล
หรือที่เรียกกระบวนการดังกล่าวว่าการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์
โดยสิ่งพิมพ์เหล่านี้อาจเผยแพร่ทั้งในรูปของกระดาษและ/หรืออิเล็กทรอนิกส์
หรืออาจอยู่ในรูปดิจิทัลหรืออิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
สิ่งพิมพ์หรือเอกสารเหล่านี้ทวีจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีคุณภาพแตกต่างกันไป
และมีทั้งเผยแพร่แบบให้เปล่าและคิดมูลค่าบริการเผยแพร่สารสนเทศจึงได้รับผลกระทบโดยตรงจากการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์
เพราะสิ่งพิมพ์จำนวนมาก เช่นวารสาร เอกสาร อ้างอิงนั้นเผยแพร่ในรูปดิจิทัล
จึงจำเป็นต้องปรับปรุงลักษณะการให้บริการ
โดยมีการรวบรวมสารสนเทศจากแหล่งสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มปริมาณ
และต้องมีวิธีการในการให้บริการที่หลากหลายด้วย ตัวอย่างเช่น
เกิดบริการหน้าสารบัญวารสารและบริการสารสนเทศทันสมัยที่จัดทำเป็นเอกสารหรือวารสารอิเล็กทรอนิกส์และเผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ต
บริการเหล่านี้มีทั้งที่จัดทำบุคคล องค์การ สมาคมวิชาชีพ
การเผยแพร่สารสนเทศในวงวิชาการที่สำคัญ
บริการเผยแพร่สารสนเทศในวงวิชาการจัดเป็นบริการสำคัญที่สถาบันบริการสารสนเทศต่างๆจัดขึ้น
เพื่อช่วยเผยแพร่สารสนเทศจากแหล่งต่างๆไปยังผู้ใช้ที่มีความต้องการสารสนเทศ เช่น
นักเรียนนักศึกษาต้องทำรายงาน นักวิจัย นักวิชาการและคณาจารย์ต้องการติดตามสารสนเทศใหม่ๆในหัวข้อเฉพาะตามความสนใจรูปแบบสิ่งพิมพ์ซึ่งเป็นผลจากการเผยแพร่สารสนเทศในวงวิชาการ
ทั้งนี่อาจจำแนกประเภทของการเผยแพร่สารสนเทศในวงวิชาการตามเวลาในการตีพิมพ์และเผยแพร่
และตามแหล่งที่มา
ประเภทของการเผยแพร่สารสนเทศในวงวิชาการจำแนกตามเวลาในการตีพิมพ์และเผยแพร่
การตีพิมพ์และเผยแพร่ (publishing)เป็นกระบวนการสำคัญในการเผยแพร่สารสนเทศและความรู้ศาสตร์ต่างๆไปยังสถานะ
โดยทั่วไปถือว่าสิ่งพิมพ์ที่มีการตีพิมพ์และเผยแพร่จะมีคุณค่าต่อความก้าวหน้าของศาสตร์นั้นๆ
อันอำนวยประโยชน์ต่อการขยาย สืบทอดและสั่งสมองค์ความรู้อย่างเป็นระบบระเบียบ
โดยมีสำนักพิมพ์เป็นผู้ดำเนินการในการตีพิมพ์และเผยแพร่สิ่งพิมพ์ทางวิชาการผ่านกลไกการค้าหนังสือและสิ่งพิมพ์
ในรูปของธุรกิจจัดจำหน่ายหนังสือและการบอกรับวารสารทั้งในระดับประเทศ
ภูมิภาคและสากล นอกจากนี้สำนักพิมพ์ทางวิชาการที่มีชื่อเสียงจึงเป็นเกณฑ์สำคัญประการหนึ่งในการประเมินค่าของสิ่งพิมพ์ทางวิชาการรายการนั้นๆ
ดังนั้น
จึงสามารถจำแนกประเภทของการเผยแพร่สารสนเทศในวงวิชาการตามเวลาในการตีพิมพ์และเผยแพร่ออกเป็น
2 กลุ่มใหญ่ คือ เอกสารก่อนการตีพิมพ์และเผยแพร่
และเอกสารหลังการตีพิมพ์และเผยแพร่
เอกสารก่อนการตีพิมพ์และการเผยแพร่
(pre-print publication)เนื่องจากกระบวนการตีพิมพ์และเผยแพร่กินเวลาไม่น้อย
นับแต่การส่งร่างต้นฉบับให้สำนักพิมพ์พิจารณาคัดเลือก
การบรรณาธิการและการจัดเตรียมต้นฉบับ
นอกจากนี้ยังมีร่างต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ไม่ผ่านการคัดเลือกให้ตีพิมพ์และเผยแพร่อีกด้วย
กอปรกับอินเทอร์เน็ตและการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่เปิดโอกาสให้นักวิชาการจำนวนไม่น้อยหันมาจัดพิมพ์และเผยแพร่ร่างต้นฉบับของตนอย่างสะดวก
รวดเร็ว ประหยัดและโดยไม่จำเป็นต้องผ่านสำนักพิมพ์
นักวิชาการโดยเฉพาะคณาจารย์ในสถานศึกษาและนักวิจัยในสถาบันวิจัยต่างๆ
จึงเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของตนเองได้ก่อนการตีพิมพ์เผยแพร่
โดยผ่านทางเวิลด์ไวด์เว็บของหน่วยงานที่สังกัด เวิลด์ไวด์เว็บส่วนตัว
หรือเวิลด์ไวด์เว็บสมาคมวิชาการหรือวิชาชีพ มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่หลายแห่งในซีกโลกตะวันตกให้การสนับสนุนคณาจารย์และนักวิจัยของตนด้วยการจัดให้มีคอมพิวเตอร์บริการสำหรับเอกสารก่อนการพิมพ์และการเผยแพร่ในสาขาวิชาต่างๆ
เพื่อเอื้อต่อการเผยแพร่สารสารสนเทศทางวิชาการไปยังสาธารณะได้อย่างรวดเร็ว
คล่องตัวและประหยัดกว่าการให้สำนักพิมพ์ดำเนินการซึ่งกินเวลานานกว่าและอาจทำให้สิ่งพิมพ์ทางวิชาการราคาสูงกว่ามาก
อันส่งผลต่อการเข้าถึงสารสนเทศด้วย
เอกสารหลังการตีพิมพ์และเผยแพร่ (post-print
publication)หมายถึงเอกสารที่ได้ตีพิมพ์และเผยแพร่แล้ว
อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ
1.
เอกสารที่ได้รับความคุ้มครองทางลิขสิทธิ์
2.
เอกสารที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์
ประเภทของการเผยแพร่สารสนเทศในวงวิชาการจำแนกตามแหล่งที่มา
สารสนเทศที่มีการจัดเก็บและเผยแพร่ในรูปแบบใดก็ตาม
สามารถแบ่งการเผยแพร่สารสนเทศในวงวิชาการตามแหล่งที่มาออกเป็น 3 ประเภท คือ แหล่งปฐมภูมิ แหล่งทุติยภูมิ และแหล่งตติยภูมิ
แหล่งปฐมภูมิ (primary
source)เป็นสารสนเทศและข้อมูลที่ได้มาจากต้นแหล่งโดยตรง
เช่น การสำรวจตลาดที่รวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์หรือตอบแบบสอบถามจากกลุ่มผู้สูงอายุในพื้นที่
เอกสารรายงานต้นฉบับเหล่านี้มักเป็นรายงานข้อมูลและสารสนเทศใหม่
ซึ่งเป็นผลการศึกษา ค้นคว้า วิจัย การค้นพบทฤษฎีใหม่ การวิเคราะห์
วิพากษ์ทฤษฎีต่างๆ
แหล่งปฐมภูมิมีประโยชน์และการเผยแพร่หรือให้ความรู้หรือข้อมูลใหม่ไปยังผู้ใช้หรือสู่สาธารณชนเพื่อนำความรู้หรือสารสนเทศใหม่เหล่านั้นอย่างเปิดเผย
ข้อมูลและสารสนเทศที่ได้จากแหล่งปฐมภูมินี้ถือว่ามีความน่าเชื่อถือและมีน้ำหนักในการอ้างอิงทางวิชาการมากที่สุด
เพราะถือเป็นต้นแหล่งของสารสนเทศโดยตรงซึ่งต่างจากข้อมูลที่ได้จากแหล่งทุติยภูมิและตติยภูมิซึ่งเป็นการรายงานหรืออ้างอิงมาอีกทอดหนึ่ง
จึงอาจทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือผิดพลาดได้ โดยทั่วไป
ข้อมูลและสารสนเทศเหล่านี้มักจะอยู่ในรูปสิ่งตีพิมพ์ในรูปแบบต่างๆโดยมีการแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง
และสถาบันบริการสารสนเทศมักจัดเก็บไว้เพื่อให้บริการ แหล่งปฐมภูมภูมิได้แก่
2.
รายงานการวิจัย
3.
รายงานการประชุม สัมมนาวิชาการ
แหล่งทุติยภูมิ
(secondary source)รวบรวมข้อมูลสารสนเทศจากแหล่งที่ได้มีการรวบรวมมาแล้วหรือแหล่งปฐมภูมิ
โดยอาจนำข้อมูลประเภทเดียวกันมารวมไว้ด้วยกัน จัดหมู่ให้เป็นระเบียบ
ย่อเรื่องให้เข้าใจง่ายหรือจัดทำดรรชนีบทความวารสาร (index
to journal articles)เพื่อเป็นเครื่องมือในการช่วยค้นคว้า โดยอาจมีการจัดทำหรือรวบรวมเรื่องย่อ
(summary)หรือสาระสังเขป (abstract)ประกอบให้สามารถเลือกสรรบทความ
หรือเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวก ง่ายดายและรวดเร็วขึ้น
แหล่งทุติยภูมิที่สำคัญได้แก่
1.
วารสารที่มีการสรุปย่อและตีความพัฒนาการหรือทฤษฎีใหม่ๆให้เข้าใจง่ายขึ้น
2.
ดรรชนีและสาระสังเขป
3.
สื่ออ้างอิง
4.
หนังสือตำรา
5.
รายงานสถานภาพวิทยาการปัจจุบัน
6.
จดหมายข่าวหรือข่าวสาร
แหล่งตติยภูมิ
(tertiary source)การรวบรวมข้อมูลสารสนเทศที่ช่วยค้นหาแหล่งข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิ
บางครั้งอาจพบว่าแหล่งตติยภูมินั้นถูกจัดรวมไว้กับแหล่งทุติยภูมิ เพราะสิ่งพิมพ์ประเภทนี้มีจำนวนน้อยกว่าแหล่งสารสนเทศตติยภูมินี้ไม่มีสารสนเทศเกี่ยวกับความรู้เฉพาะสาขาวิชาต่างๆแต่จะช่วยในการค้นคว้าข้อมูลเพื่อใช้ในการหาข้อมูลเพื่อใช้ในการหาข้อมูลสารสนเทศเฉพาะสาขาวิชาอีกทีหนึ่ง
สิ่งพิมพ์ประเภทนี้ประกอบด้วย
2.3.1
นามานุกรม เป็นการรวบรวมรายชื่อหน่วยงาน ผู้ปฏิบัติงานพร้อมสถานที่
เช่น นามสงเคราะห์ส่วนราชการไทย รายนามผู้ใช้โทรศัพท์ เป็นต้น
2.3.2
บรรณานุกรม
เป็นการรวบรวมรายชื่อสิ่งพิมพ์ในหัวข้อหรือด้านใดด้านหนึ่ง เช่น
รายชื่อวารสารภาษาไทยในห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษา เป็นต้น
2.3.3
บรรณนิทัศน์
เป็นการรวบรวมรายชื่อวรรณกรรมในด้านต่างๆพร้อมคำอธิบายเนื้อเรื่องย่อ
ส่วนใหญ่เนื้อเรื่องจะมีขนาดสั้น
2.3.4
หนังสือแนะนำวรรณกรรมเฉพาะสาขาวิชา
เป็นการรวบรวมรายชื่อวรรณกรรมในสาขาวิชาเพื่อประโยชน์ในการแนะแนววรรณกรรมสำคัญหรือพื้นฐานการจัดหาวรรณกรรมในการจัดให้บริการสารสนเทศ
ที่มา : มหาวิทยาสุโขทัยธรรมาธิราช. (2549). การบริการและการเผยแพร่สารสนเทศ หน่วยที่ 1-7.
ที่มา : มหาวิทยาสุโขทัยธรรมาธิราช. (2549). การบริการและการเผยแพร่สารสนเทศ หน่วยที่ 1-7.
พิมพ์ครั้งที่4. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.